|
รองนายกฯ ศก.มองหุ้นไทยร่วงแรงวันนี้ เกิดจาก นลท.ไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แนะอย่าไปตกใจจนเกินเหตุ และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว แนะให้ดูพื้นฐานระยะยาว
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (10 ต.ค.) ปรับตัวลงแรงกว่า 50 จุด และปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันที่ผ่านมา โดยมองว่า สาเหตุมาจากนักลงทุนไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แต่อยากให้มองการลงทุนที่พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่ายังคงมีความแข็งแกร่งในพื้นฐานของเศรษฐกิจ และขอให้เชื่อมั่นว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และจะปรับตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์กสิรไทยจำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงวันนี้ถึง 50 จุด มีทั้งปัจจัยในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นไทยที่เหนือระดับ 1,500 จุด ดังนั้น เมื่อเกิดข่าวลบมากระทบทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงทันที โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ไว้ที่ 1,530 จุด หรือระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 14-16 เท่า โดยดัชนีมีแนวรับสำคัญที่ 1,438 จุด ส่วนเป้าหมายหุ้นไทยในปี 2560 อยู่ที่ 1,540 จุด ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13-15 เท่า ดังนั้น การลงทุนควรจะเก็งกำไรในระยะสั้น และมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 40 และถือเงินสดร้อยละ 60
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชัดเจนที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับไปสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณที่นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยน้อยลง ส่วนการโต้วาทีตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ไม่มีผลต่อตลาด หากนางฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนนำอยู่
นายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือเดือนธันวาคม 2559 ปรับตัวลดลงร้อยละ 26.19 จากระดับ 140.68 เป็น 103.84 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว โดยมีปัจจัยมาจากการที่สหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยความเชื่อมั่นปรับลดลงทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนต่างชาติปรับลดลงมากที่สุดถึงร้อยละ 36.36 รองลงมาเป็นนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงร้อยละ 25.50 และนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลงร้อยละ 13.45 สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ บริการรับเหมาก่อสร้าง ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด
นายสมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยคาดว่า ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญของจีน แต่ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวระยะสั้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น ขณะที่การส่งออกยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดหดตัวร้อยละ 2 เรื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตเพียงร้อยละ 3.1 ปริมาณการค้าโลกลดลง ประกอบกับไทยมีปัญหาเรื่อง โครงสร้างสินค้าส่งออกด้วย จึงทำให้การส่งออกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (10 ต.ค.) ปรับตัวลงแรงกว่า 50 จุด และปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันที่ผ่านมา โดยมองว่า สาเหตุมาจากนักลงทุนไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แต่อยากให้มองการลงทุนที่พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่ายังคงมีความแข็งแกร่งในพื้นฐานของเศรษฐกิจ และขอให้เชื่อมั่นว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และจะปรับตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์กสิรไทยจำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงวันนี้ถึง 50 จุด มีทั้งปัจจัยในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นไทยที่เหนือระดับ 1,500 จุด ดังนั้น เมื่อเกิดข่าวลบมากระทบทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงทันที โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ไว้ที่ 1,530 จุด หรือระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 14-16 เท่า โดยดัชนีมีแนวรับสำคัญที่ 1,438 จุด ส่วนเป้าหมายหุ้นไทยในปี 2560 อยู่ที่ 1,540 จุด ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13-15 เท่า ดังนั้น การลงทุนควรจะเก็งกำไรในระยะสั้น และมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 40 และถือเงินสดร้อยละ 60
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชัดเจนที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับไปสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณที่นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยน้อยลง ส่วนการโต้วาทีตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ไม่มีผลต่อตลาด หากนางฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนนำอยู่
นายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือเดือนธันวาคม 2559 ปรับตัวลดลงร้อยละ 26.19 จากระดับ 140.68 เป็น 103.84 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว โดยมีปัจจัยมาจากการที่สหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยความเชื่อมั่นปรับลดลงทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนต่างชาติปรับลดลงมากที่สุดถึงร้อยละ 36.36 รองลงมาเป็นนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงร้อยละ 25.50 และนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลงร้อยละ 13.45 สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ บริการรับเหมาก่อสร้าง ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด
นายสมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยคาดว่า ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญของจีน แต่ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวระยะสั้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น ขณะที่การส่งออกยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดหดตัวร้อยละ 2 เรื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตเพียงร้อยละ 3.1 ปริมาณการค้าโลกลดลง ประกอบกับไทยมีปัญหาเรื่อง โครงสร้างสินค้าส่งออกด้วย จึงทำให้การส่งออกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ
ที่มา : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000102037
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น