วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวโซนตะวันออก


รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวโซนตะวันออก









      ความคืบหน้าไฮสปีดเส้นกรุงเทพฯ-ระยองนี้ระหว่างการปรับปรุงรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)เพิ่มเติมครั้งที่ 4 ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการก่อนส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.)พิจารณานำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) ต่อไป
       ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้วและคณะกรรมการรถไฟฯเห็นชอบรายงานการร่วมลงทุนไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 ล่าสุดอยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)พิจารณาถึงรูปแบบการร่วมลงทุนหลังจากนั้นจึงจะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(คณะกรรมการพีพีพี)อนุมัติให้ตั้งคณะกรรมการมาตรา 13 กำหนดการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคาต่อไป
     จุดเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่สถานีลาดกระบัง ผ่านสถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา ไปสิ้นสุดที่สถานีระยอง รวมระยะทาง 193 กิโลเมตร เป็นรถไฟขนาดทางมาตรฐาน 1.435 เมตร โดยมีเดโป้หรือศูนย์ซ่อมบำรุงก่อนเข้าสู่สถานีฉะเชิงเทรา และมีอุโมงค์ขนาดใหญ่รูปแบบอุโมงค์เดี่ยวแต่ก่อสร้างให้เป็นทางคู่ที่เขาชีจรรย์ยาวราว 300 เมตรใช้ระยะเวลาการเดินทางจากลาดกระบังถึงระยองประมาณ 1 ชั่วโมง เบื้องต้นนั้นจุดสิ้นสุดทางรถไฟปัจจุบันอยู่ที่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แนวเส้นทางจะใช้เกาะกลางของทางหลวงหมายเลข 36(ทางเลี่ยงเมือง) จะสามารถตัดเข้าสู่เมืองระยองได้จากทางหลวงหมายเลข 3138 โดยโครงสร้างสถานีวางคร่อมอยู่บน ทล.36
     ส่วนด้านการเวนคืนสำหรับการก่อสร้างไฮสปีดเทรนเส้นทางสู่ภาคตะวันออกนี้จะมีการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 836 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่กรุงเทพฯ 38 ไร่ ฉะเชิงเทรา 550 ไร่ ชลบุรี 120 ไร่ ระยอง 127 ไร่โดยจะมีการรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างจำนวน 153 หลัง สิ่งปลูกสร้างที่บุกรุกพื้นที่เขตทางรถไฟอีก 193 หลัง
      สำหรับวงเงินลงทุนไฮสปีดเทรนเส้นทางนี้จะใช้รูปแบบ PPP Net Cost มีวงเงินลงทุนประมาณ 152,448 ล้านบาทโดยเอกชนจะลงทุนทั้งงานโยธาราว 111,588 ล้านบาท งานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถราว 32,830 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ ราว 5,937 ล้านบาท ส่วนรัฐจะจ่ายค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินราว 2,093 ล้านบาท
     นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะต้องบูรณาการเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและการดึงดูดนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นจังหวัดฉะเชิงเทราที่จะต้องเร่งยกระดับชุมชนด้านที่อยู่อาศัยให้ก้าวสู่ระดับมาตรฐานโลกรองรับการเติบโตของเมืองกรุงเทพฯส่วนชลบุรี ศรีราชา ปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเมืองศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ อีกทั้งยังเป็นเมืองรองรับอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตและเมืองอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เช่นเดียวกับพัทยา สัตหีบ ระยอง เมืองในเขตท่องเที่ยวภาคตะวันออกทั้งในเชิงธุรกิจ ครอบครัวและสุขภาพ อีกทั้งระยองยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองนานาชาติมาตรฐานโลกน่าอยู่ที่สุดในอาเซียนมีทั้งการวิจัยด้านอาหารและไบโออีโคโนมีอีกด้วย
      ทั้งนี้รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยองยังจะเชื่อมโยงท่าอากาศยาน 3 แห่งคือสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา สามารถเชื่อมโยงกับการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางเรือและทางอากาศได้อย่างครอบคลุมมากขึ้นจึงเป็นการเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวทางทะเลได้เป็นอย่างดี คาดว่าปี 2560 นี้คงจะได้เห็นความคืบหน้าด้านการประมูลหลังจากที่สคร.เสนอคณะกรรมการพีพีพีพิจารณาแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้
ที่มา : http://www.thansettakij.com/2016/10/30/108618

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

'รมต.โปรตุเกส' สนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทย


'รมต.โปรตุเกส' สนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทย










     "รมต.โปรตุเกส" ดอดพบ "อาคม" สนใจลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังนายจอร์จ คอสต้า โอลิเวียร่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐโปรตุเกสเข้าพบว่า โปรตุเกสสนใจเข้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในไทย โดยเฉพาะด้านงานโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การก่อสร้างอุโมงค์คอนกรีตขนาดใหญ่ อุโมงค์รถไฟฟ้า และการจัดทำระบบการจำหน้าคนซึ่งเป็นระบบตรวจสอบความปลอดภัยภายในสนามบิน ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของกระทรวงคมนาคม


นอกจากนี้ ยังขอให้ฝ่ายไทยช่วยจัดงานจับคู่ธุรกิจระหว่างบริษัทของไทย และโปรตุเกสด้วย เพราะมีนักธุรกิจจำนวนมากสนใจจะร่วมลงทุนกับคนไทย รวมทั้งชวนให้ไทยนำคณะนักธุรกิจไทยไปโรดโชว์ที่โปรตุเกส ด้วยซึ่งจะต้องหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต่อไป



ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/722789

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ส.อ.ท.เร่งสานต่อแนวพระราชดำริลงทุนพอเพียง



ส.อ.ท.เร่งสานต่อแนวพระราชดำริลงทุนพอเพียง








     ส.อ.ท. เร่งสานต่อแนวพระราชดำริ ลงทุนพอเพียง พร้อมหารือสมาชิกเร่งผลิตชุดแต่งกายรองรับความต้องการประชาชน
     นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นมหาวิปโยคของคนไทย โดย ส.อ.ท. ได้ตั้งปณิธานเร่งทำงานตลอดจนนำคำสอนของพระองค์ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การลงทุนที่เหมาะสม ไม่พึงพาการกู้เงินเป็นหลักมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ ส่วนในขณะนี้ที่ประชาชนมีความต้องการชุดแต่งกายไว้ทุกข์เป็นจำนวนมาก ตลอดจนทำให้เกิดกระแสข่าวขาดแคลน เชื่อว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยยืนยันว่าที่ผ่านมา วัตถุดิบผ้ามีปริมาณที่มากเพียงพอ แต่ติดที่กระบวนการผลิตอาจไม่ทันต่อความต้องการของประชาชนในขณะนี้ ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภายใน 7 - 10 วัน 


    ทั้งนี้ ส.อ.ท. ไม่เห็นด้วยที่มีการฉวยโอกาสในการปรับขึ้นราคาเสื้อผ้าสำหรับไว้ทุกข์ พร้อมได้หารือกับสมาชิกในกลุ่มให้เร่งการผลิตรองรับความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ ส.อ.ท. เตือนประชาชนที่จะนำผ้าหรือเสื้อไปย้อมสี ควรระมัดระวังถึงความปลอดภัย เนื่องจากสีย้อมที่นำเข้ามีหลากหลายชนิด ไม่สามารถใช้กับผ้าได้ทุกประเภท เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าโพลีเอสเตอร์ ที่ใช้ต่างชนิดกัน และเมื่อย้อมสีไม่ติดเนื้อผ้าอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมจากการเทน้ำย้อมสีผ้าทิ้ง




















ที่มา : http://money.sanook.com/428709/

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รองนายกฯ ศก.แนะนักลงทุนอย่าตื่นตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ระยะสั้น

รองนายกฯ ศก.แนะนักลงทุนอย่าตื่นตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ระยะสั้น





รองนายกฯ ศก.มองหุ้นไทยร่วงแรงวันนี้ เกิดจาก นลท.ไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แนะอย่าไปตกใจจนเกินเหตุ และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว แนะให้ดูพื้นฐานระยะยาว
       
       นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (10 ต.ค.) ปรับตัวลงแรงกว่า 50 จุด และปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันที่ผ่านมา โดยมองว่า สาเหตุมาจากนักลงทุนไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แต่อยากให้มองการลงทุนที่พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่ายังคงมีความแข็งแกร่งในพื้นฐานของเศรษฐกิจ และขอให้เชื่อมั่นว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และจะปรับตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว
       
       นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์กสิรไทยจำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงวันนี้ถึง 50 จุด มีทั้งปัจจัยในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นไทยที่เหนือระดับ 1,500 จุด ดังนั้น เมื่อเกิดข่าวลบมากระทบทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงทันที โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ไว้ที่ 1,530 จุด หรือระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 14-16 เท่า โดยดัชนีมีแนวรับสำคัญที่ 1,438 จุด ส่วนเป้าหมายหุ้นไทยในปี 2560 อยู่ที่ 1,540 จุด ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13-15 เท่า ดังนั้น การลงทุนควรจะเก็งกำไรในระยะสั้น และมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 40 และถือเงินสดร้อยละ 60
       
       นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชัดเจนที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับไปสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณที่นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยน้อยลง ส่วนการโต้วาทีตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ไม่มีผลต่อตลาด หากนางฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนนำอยู่
       
       นายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือเดือนธันวาคม 2559 ปรับตัวลดลงร้อยละ 26.19 จากระดับ 140.68 เป็น 103.84 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว โดยมีปัจจัยมาจากการที่สหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยความเชื่อมั่นปรับลดลงทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนต่างชาติปรับลดลงมากที่สุดถึงร้อยละ 36.36 รองลงมาเป็นนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงร้อยละ 25.50 และนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลงร้อยละ 13.45 สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ บริการรับเหมาก่อสร้าง ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด
       
       นายสมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยคาดว่า ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญของจีน แต่ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวระยะสั้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น ขณะที่การส่งออกยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดหดตัวร้อยละ 2 เรื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตเพียงร้อยละ 3.1 ปริมาณการค้าโลกลดลง ประกอบกับไทยมีปัญหาเรื่อง โครงสร้างสินค้าส่งออกด้วย จึงทำให้การส่งออกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000102037

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คาลเท็กซ์เตรียมรุก Nonoil ทุ่มพันล้านผุดปั๊มใหม่ 70 แห่ง


       

คาลเท็กซ์เตรียมรุก Nonoil ทุ่มพันล้านผุดปั๊มใหม่ 70 แห่ง





    นายบุญญฤทธิ์ ศรีอ่อนคง ผู้จัดการฝ่ายองค์กรและรัฐสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในฐานะผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันแบรนด์คาลเท็กซ์ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แผนขยายสถานีบริการน้ำมันของคาลเท็กซ์ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้คือ ในช่วง 3 ปีนี้ (59-61) จะขยายสถานีบริการ 20 แห่ง/ปี รวมสถานีบริการใหม่ทั้งสิ้น 70 แห่ง ลงทุนอยู่ที่ 20-30 ล้านบาท/แห่ง รวมการลงทุนประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยในปีนี้ขยายไปแล้ว 13 แห่ง ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้จะขยายได้ครบ 20 แห่งแน่นอน นอกจากนี้คาลเท็กซ์ยังมีการปรับปรุงสถานีบริการเดิมให้มีความใหม่และทันสมัยมากขึ้นด้วย โดยในปีนี้ยอดจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการของคาลเท็กซ์ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7-8 เนื่องจากจัดส่งเสริมการขายต่อเนื่อง รวมถึงมีการทำตลาดน้ำมันเกรดพรีเมี่ยมคือ "คาลเท็กซ์เทครอน"

แต่ขายในราคาปกติ ซึ่งผู้บริโภคให้ความสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจากน้ำมันสูตรดังกล่าวตอบสนองการดูแลเครื่องยนต์และประหยัดน้ำมันเป็นหลัก

ปัจจุบันธุรกิจเสริมภายในสถานีบริการ (Nonoil) มีรองรับความต้องการที่หลากหลายทั้งร้านสะดวกซื้อมินิบิ๊กซี ลอว์สัน และแฟมิลี่มาร์ท รวมถึงร้านกาแฟดิโอโร่ และอื่น ๆและคาดว่าในปีหน้าจะเปิดตัวพันธมิตรใหม่ที่จะเข้ามาร่วมให้บริการในสถานีบริการซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างเจรจากับหลายแบรนด์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ที่มีความหลากหลาย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

"ปั๊มน้ำมันแบรนด์คาลเท็กซ์ทั่วประเทศมีรวม 380 แห่ง ยังคงอยู่ในอันดับ TOP5 ของผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 7% และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่องเช่น บัตร The One Card, ทรู ฯลฯ จะช่วยรักษามาร์เก็ตแชร์ไว้ได้แน่นอน ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างมาก"

นายบุญญฤทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันค่าการตลาด (Margin) ของผู้ค้าน้ำมันยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเฉลี่ยที่ 1.50 บาท/ลิตร ในขณะที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) มีการศึกษาถึงระดับค่าการตลาดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 1.80-2 บาท/ลิตร

ฉะนั้นภาครัฐควรพิจารณาประเด็นดังกล่าวด้วยเพื่อให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพที่จะลงทุนต่อเนื่องในอนาคต และสร้างมาตรฐานในการบริการที่ดีให้กับผู้บริโภคต่อไปด้วย สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันในปีหน้านั้นมองว่าราคาน้ำมันอาจจะผันผวนน้อยลงเมื่อเทียบกับปีนี้

รายงานข่าวจากกรมธุรกิจพลังงานระบุว่า ปัจจุบันบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับ 1 รวม 1,604 แห่ง รองลงมาคือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) 1,240 แห่ง บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 1,075 แห่ง บริษัท เอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 542 แห่ง บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด 494 แห่งและคาลเท็กซ์ 365 แห่ง

ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475416976