วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

AEONTS เล็งเพิ่มทุนในบริษัทย่อย ลุยขยายธุรกิจในกัมพูชา

AEONTS เล็งเพิ่มทุนในบริษัทย่อย ลุยขยายธุรกิจในกัมพูชา





         ช่วงนี้กระแสข่าวหุ้น ipo เริ่มเยอะขึ้นและใกล้ช่วงปีใหม่ด้วยสิ อีอ้อนนน (อิออน) เราก็จะมีการลงทุนในกัมพูชาละฮะ ซึ่งรายละเอียดตามข่าวนี้เลย 

นายคิโยะยะซึ อะซะนุมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ วันนี้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัทย่อย คือ AEON Specialized Bank (Cambodia) Plc. จำนวน 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมาจากบริษัท จำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  และ บริษัท อิออน ไฟแนนเชียล เซอร์วิส จำกัด (AFS)  จำนวน 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  ซึ่งหลังจากการเพิ่มทุนแล้ว AEON Specialized Bank (Cambodia) Plc.จะมีทุนจดทะเบียนเป็น 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัท และ บริษัท  อิออน ไฟแนนเชียล เซอร์วิส จำกัด ยังคงถือสัดส่วนเท่าเดิมที่ร้อยละ 80 และร้อยละ 20 ตามลำดับ
อนึ่ง AEON Specialized Bank (Cambodia) Plc. ดำเนินธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในประเทศกัมพูชา ก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม 2554 ซึ่งอยู่ในระหว่างการขยายธุรกิจภายใต้ตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ปัจจุบัน AEON Specialized Bank (Cambodia) Plc. มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯและจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯในการเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ในการกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และเพื่อการขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในประเทศกัมพูชา
นอกจากนี้ ตามที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 8 พันล้านบาทเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนดซึ่งมีการอนุมัติโดยที่ประชุมคณะกรรมการแล้วจำนวน 3.5 พันล้านบาท แ
ละบริษัทได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้แล้วบางส่วน ทำให้ปัจจุบันมีวงเงินคงเหลือจำนวน 4.5 พันล้านบาท
ดังนั้น บริษัทจะออกและเสนอขายหุ้นกู้ใหม่ โดยเป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ วงเงินไม่เกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อายุ 5 ปี นับตั้งแต่วันออกหุ้นกู้ เสนอขายธนาคารญี่ปุ่น ส่วนอัตราดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยตามตลาด ณ วันที่เสนอขายและ ออกหุ้นกู้
ทั้งนี้ให้กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทมีอำนาจพิจารณา กำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นกู้ ตลอดจนดำเนินการขออนุญาตต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีอำนาจในการดำเนินการใดๆ ตามที่จำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้


ที่มา : http://www.kaohoon.com/online/content/view/53046/AEONTSเล็งเพิ่มทุนในบริษัทย่อยลุยขยายธุรกิจในกัมพูชา

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

SPCG ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ทะลุ 6 พันลบ.-มีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์


SPCG ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ทะลุ 6 พันลบ.-มีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์










นางสาววันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 60 จะไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดรายได้จะอยู่ที่ 5,000-5,500 ล้านบาท เนื่องจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทฯจะกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มอีกอย่างน้อย 67 เมกะวัตต์
แบ่งเป็นโครงการในประเทศญี่ปุ่น เฟสแรก 30 เมกะวัตต์ ที่จะ COD ในช่วงไตรมาส 1/60 และโครงการในประเทศฟิลิปปินส์ 37 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างภายในช่วงไตรมาส 1/60 และเริ่ม COD ในช่วงไตรมาส 2-3/60 ใช้งบลงทุนราว 1,850 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้ายอดขายจากการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปราว 2,000 ล้านบาท หรือที่ 50 เมกะวัตต์
"ในปีนี้เรายังต้องลุ้นว่าผลประกอบการจะออกมามากกว่าเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เพราะงานหลายๆ งานมาจบในช่วงไตรมาส 4/59 แต่อย่างไรก็ตามในช่วง 5,000-5,500 ล้านบาทได้แน่นอนอยู่แล้ว ในขณะที่ปีหน้าเราก็ยังมีการขยายการขายการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปอย่างต่อเนื่อง และยังมีการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม ซึ่งเราก็ตั้งเป้าที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"นางสาววันดี กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการขยายกิจการในประเทศญี่ปุ่น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกลงทุนในโครงการที่พันธมิตรมีอยู่ทั้งหมด 500 เมกะวัตต์ และในประเทศฟิลิปปินส์ ที่พันธมิตรมีโครงการอยู่ทั้งหมด 200 เมกะวัตต์ โดยบริษัทจะเลือกร่วมลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพมากที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะได้โครงการที่เหมาะสมทั้งหมดกี่โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8,000-10,000 ล้านบาทภายในปี 63 โดยคงเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 เมกะวัตต์ ในปี 63 จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งหมด 260 เมกะวัตต์ โดยบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยอดขายจากการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงินลงทุนตามแผนงานในอนาคตนั้น บริษัทจะเน้นการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ ซึ่งยังสามารถกู้ได้เพิ่มหลังระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่เพียง 1.78 เท่า ขณะที่การเพิ่มทุนจะเป็นช่องทางสุดท้ายที่บริษัทจะเลือกดำเนินการ

ที่มา : http://www.kaohoon.com/online/content/view/51844/SPCGตั้งเป้ารายได้ปี60ทะลุ6พันลบมีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

TU เข้าร่วมทุน 50% ตั้งซีฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ทรีในดูไบ พร้อมให้สัตยาบรรณย้อนหลังให้เงินกู้ TFM


TU เข้าร่วมทุน 50% ตั้งซีฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ทรีในดูไบ พร้อมให้สัตยาบรรณย้อนหลังให้เงินกู้ TFM 

















       บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TUF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการเข้าร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท ซีฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ทรี จำกัด ในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทุนจดทะเบียน 100,000 เดอร์แฮม (1,000,000 บาท) เพื่อจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาต่างๆ ที่เกิดหรือมีขึ้นในการประกอบธุรกิจของทั้งบริษัทร่วมทุนทั้งสองบริษัทได้แก่ บริษัท ยูไนเต็ด ซีฟู้ด (หมายเลข 1) FZCO และบริษัท   ยูไนเต็ด ซีฟู้ด (หมายเลข 2) FZCO ที่ได้จัดตั้งไปก่อนหน้านี้แล้วในปี 58   พร้อมกันนั้น ยังมีมติต่อการให้สัตยาบรรณสาหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (TFM) ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน เนื่องจากความเข้าใจผิดของกระบวนการทางาน ซึ่งพบว่าบริษัทได้ให้บริษัท TFM กู้ยืมเงินจำนวน 105 ล้านบาท ในวันที่ 31 สิงหาคม ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2559 รวม 62 วัน ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.8 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ต่ากว่าต้นทุนของบริษัท ด้วยเหตุผลของความเร่งด่วนในการต้องใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตให้สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ทันกับโอกาสทางการตลาด ทำให้บริษัทต้องเข้าช่วยเหลือทางการเงินตามที่จำเป็นโดยทันที และไม่อาจรอการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากสัดส่วนของบุคคลที่เกี่ยวโยงได้ จึงไม่ได้ผ่านขั้นตอนมติคณะกรรมการ    ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวถูกต้องตามตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 จึงขอให้สัตยาบรรณ สำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ TFM ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน คือ นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ กรรมการบริษัท และเป็นผู้ถือหุ้น (รวมญาติสนิท) ในบริษัท TFM ในสัดส่วนร้อยละ 24.2 แต่เมื่อคำนวณมูลค่าของรายการแล้ว รายการดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 0.03 แต่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัท ณ วันที่ 30กันยายน 2559 โดยที่คณะกรรมการตรวจสอบรับทราบและมีความเห็นให้ระมัดระวังในการทำรายการต่อไปในอนาคต สำหรับวาระการประชุมนี้ นายฤทธิรงค์ กรรมการที่มีส่วนได้เสียไม่ออกเสียงในที่ประชุม

    อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหากไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กล่าวไว้

    นอกจากนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการแต่งตั้ง นายคิโยทากะ คิคูชิ, Division COO, Fresh Food Products Division, Living Essentials Group of Mitsubishi Corporation เป็นกรรมการเข้าใหม่แทนนายยูทากะ เคียวยะ ที่ขอลาออกก่อนครบวาระ โดยอยู่ในตาแหน่งถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2559 และนายคิโยทากะ คิคูชิ จะเป็นกรรมการเข้าใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป และจะมีวาระเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของนายยูทากะ เคียวยะ

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/iq10/2544669

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวโซนตะวันออก


รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวโซนตะวันออก









      ความคืบหน้าไฮสปีดเส้นกรุงเทพฯ-ระยองนี้ระหว่างการปรับปรุงรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)เพิ่มเติมครั้งที่ 4 ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการก่อนส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.)พิจารณานำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) ต่อไป
       ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้วและคณะกรรมการรถไฟฯเห็นชอบรายงานการร่วมลงทุนไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 ล่าสุดอยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)พิจารณาถึงรูปแบบการร่วมลงทุนหลังจากนั้นจึงจะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(คณะกรรมการพีพีพี)อนุมัติให้ตั้งคณะกรรมการมาตรา 13 กำหนดการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคาต่อไป
     จุดเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่สถานีลาดกระบัง ผ่านสถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา ไปสิ้นสุดที่สถานีระยอง รวมระยะทาง 193 กิโลเมตร เป็นรถไฟขนาดทางมาตรฐาน 1.435 เมตร โดยมีเดโป้หรือศูนย์ซ่อมบำรุงก่อนเข้าสู่สถานีฉะเชิงเทรา และมีอุโมงค์ขนาดใหญ่รูปแบบอุโมงค์เดี่ยวแต่ก่อสร้างให้เป็นทางคู่ที่เขาชีจรรย์ยาวราว 300 เมตรใช้ระยะเวลาการเดินทางจากลาดกระบังถึงระยองประมาณ 1 ชั่วโมง เบื้องต้นนั้นจุดสิ้นสุดทางรถไฟปัจจุบันอยู่ที่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แนวเส้นทางจะใช้เกาะกลางของทางหลวงหมายเลข 36(ทางเลี่ยงเมือง) จะสามารถตัดเข้าสู่เมืองระยองได้จากทางหลวงหมายเลข 3138 โดยโครงสร้างสถานีวางคร่อมอยู่บน ทล.36
     ส่วนด้านการเวนคืนสำหรับการก่อสร้างไฮสปีดเทรนเส้นทางสู่ภาคตะวันออกนี้จะมีการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 836 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่กรุงเทพฯ 38 ไร่ ฉะเชิงเทรา 550 ไร่ ชลบุรี 120 ไร่ ระยอง 127 ไร่โดยจะมีการรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างจำนวน 153 หลัง สิ่งปลูกสร้างที่บุกรุกพื้นที่เขตทางรถไฟอีก 193 หลัง
      สำหรับวงเงินลงทุนไฮสปีดเทรนเส้นทางนี้จะใช้รูปแบบ PPP Net Cost มีวงเงินลงทุนประมาณ 152,448 ล้านบาทโดยเอกชนจะลงทุนทั้งงานโยธาราว 111,588 ล้านบาท งานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถราว 32,830 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ ราว 5,937 ล้านบาท ส่วนรัฐจะจ่ายค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินราว 2,093 ล้านบาท
     นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะต้องบูรณาการเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและการดึงดูดนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นจังหวัดฉะเชิงเทราที่จะต้องเร่งยกระดับชุมชนด้านที่อยู่อาศัยให้ก้าวสู่ระดับมาตรฐานโลกรองรับการเติบโตของเมืองกรุงเทพฯส่วนชลบุรี ศรีราชา ปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเมืองศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ อีกทั้งยังเป็นเมืองรองรับอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตและเมืองอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เช่นเดียวกับพัทยา สัตหีบ ระยอง เมืองในเขตท่องเที่ยวภาคตะวันออกทั้งในเชิงธุรกิจ ครอบครัวและสุขภาพ อีกทั้งระยองยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองนานาชาติมาตรฐานโลกน่าอยู่ที่สุดในอาเซียนมีทั้งการวิจัยด้านอาหารและไบโออีโคโนมีอีกด้วย
      ทั้งนี้รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยองยังจะเชื่อมโยงท่าอากาศยาน 3 แห่งคือสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา สามารถเชื่อมโยงกับการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางเรือและทางอากาศได้อย่างครอบคลุมมากขึ้นจึงเป็นการเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวทางทะเลได้เป็นอย่างดี คาดว่าปี 2560 นี้คงจะได้เห็นความคืบหน้าด้านการประมูลหลังจากที่สคร.เสนอคณะกรรมการพีพีพีพิจารณาแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้
ที่มา : http://www.thansettakij.com/2016/10/30/108618

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

'รมต.โปรตุเกส' สนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทย


'รมต.โปรตุเกส' สนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทย










     "รมต.โปรตุเกส" ดอดพบ "อาคม" สนใจลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังนายจอร์จ คอสต้า โอลิเวียร่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐโปรตุเกสเข้าพบว่า โปรตุเกสสนใจเข้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในไทย โดยเฉพาะด้านงานโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การก่อสร้างอุโมงค์คอนกรีตขนาดใหญ่ อุโมงค์รถไฟฟ้า และการจัดทำระบบการจำหน้าคนซึ่งเป็นระบบตรวจสอบความปลอดภัยภายในสนามบิน ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของกระทรวงคมนาคม


นอกจากนี้ ยังขอให้ฝ่ายไทยช่วยจัดงานจับคู่ธุรกิจระหว่างบริษัทของไทย และโปรตุเกสด้วย เพราะมีนักธุรกิจจำนวนมากสนใจจะร่วมลงทุนกับคนไทย รวมทั้งชวนให้ไทยนำคณะนักธุรกิจไทยไปโรดโชว์ที่โปรตุเกส ด้วยซึ่งจะต้องหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต่อไป



ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/722789

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ส.อ.ท.เร่งสานต่อแนวพระราชดำริลงทุนพอเพียง



ส.อ.ท.เร่งสานต่อแนวพระราชดำริลงทุนพอเพียง








     ส.อ.ท. เร่งสานต่อแนวพระราชดำริ ลงทุนพอเพียง พร้อมหารือสมาชิกเร่งผลิตชุดแต่งกายรองรับความต้องการประชาชน
     นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นมหาวิปโยคของคนไทย โดย ส.อ.ท. ได้ตั้งปณิธานเร่งทำงานตลอดจนนำคำสอนของพระองค์ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การลงทุนที่เหมาะสม ไม่พึงพาการกู้เงินเป็นหลักมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ ส่วนในขณะนี้ที่ประชาชนมีความต้องการชุดแต่งกายไว้ทุกข์เป็นจำนวนมาก ตลอดจนทำให้เกิดกระแสข่าวขาดแคลน เชื่อว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยยืนยันว่าที่ผ่านมา วัตถุดิบผ้ามีปริมาณที่มากเพียงพอ แต่ติดที่กระบวนการผลิตอาจไม่ทันต่อความต้องการของประชาชนในขณะนี้ ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภายใน 7 - 10 วัน 


    ทั้งนี้ ส.อ.ท. ไม่เห็นด้วยที่มีการฉวยโอกาสในการปรับขึ้นราคาเสื้อผ้าสำหรับไว้ทุกข์ พร้อมได้หารือกับสมาชิกในกลุ่มให้เร่งการผลิตรองรับความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ ส.อ.ท. เตือนประชาชนที่จะนำผ้าหรือเสื้อไปย้อมสี ควรระมัดระวังถึงความปลอดภัย เนื่องจากสีย้อมที่นำเข้ามีหลากหลายชนิด ไม่สามารถใช้กับผ้าได้ทุกประเภท เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าโพลีเอสเตอร์ ที่ใช้ต่างชนิดกัน และเมื่อย้อมสีไม่ติดเนื้อผ้าอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมจากการเทน้ำย้อมสีผ้าทิ้ง




















ที่มา : http://money.sanook.com/428709/

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รองนายกฯ ศก.แนะนักลงทุนอย่าตื่นตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ระยะสั้น

รองนายกฯ ศก.แนะนักลงทุนอย่าตื่นตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ระยะสั้น





รองนายกฯ ศก.มองหุ้นไทยร่วงแรงวันนี้ เกิดจาก นลท.ไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แนะอย่าไปตกใจจนเกินเหตุ และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว แนะให้ดูพื้นฐานระยะยาว
       
       นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (10 ต.ค.) ปรับตัวลงแรงกว่า 50 จุด และปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันที่ผ่านมา โดยมองว่า สาเหตุมาจากนักลงทุนไทยมักจะตกใจ และกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้น แต่อยากให้มองการลงทุนที่พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่ายังคงมีความแข็งแกร่งในพื้นฐานของเศรษฐกิจ และขอให้เชื่อมั่นว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และจะปรับตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ อยากให้นักลงทุนระมัดระวัง และอย่ากังวลกับปัญหาดังกล่าว
       
       นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์กสิรไทยจำกัด กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงวันนี้ถึง 50 จุด มีทั้งปัจจัยในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นไทยที่เหนือระดับ 1,500 จุด ดังนั้น เมื่อเกิดข่าวลบมากระทบทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงทันที โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ไว้ที่ 1,530 จุด หรือระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 14-16 เท่า โดยดัชนีมีแนวรับสำคัญที่ 1,438 จุด ส่วนเป้าหมายหุ้นไทยในปี 2560 อยู่ที่ 1,540 จุด ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13-15 เท่า ดังนั้น การลงทุนควรจะเก็งกำไรในระยะสั้น และมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 40 และถือเงินสดร้อยละ 60
       
       นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชัดเจนที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับไปสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณที่นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยน้อยลง ส่วนการโต้วาทีตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ไม่มีผลต่อตลาด หากนางฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนนำอยู่
       
       นายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือเดือนธันวาคม 2559 ปรับตัวลดลงร้อยละ 26.19 จากระดับ 140.68 เป็น 103.84 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว โดยมีปัจจัยมาจากการที่สหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยความเชื่อมั่นปรับลดลงทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนต่างชาติปรับลดลงมากที่สุดถึงร้อยละ 36.36 รองลงมาเป็นนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงร้อยละ 25.50 และนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลงร้อยละ 13.45 สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ บริการรับเหมาก่อสร้าง ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด
       
       นายสมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยคาดว่า ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญของจีน แต่ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวระยะสั้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น ขณะที่การส่งออกยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดหดตัวร้อยละ 2 เรื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโตเพียงร้อยละ 3.1 ปริมาณการค้าโลกลดลง ประกอบกับไทยมีปัญหาเรื่อง โครงสร้างสินค้าส่งออกด้วย จึงทำให้การส่งออกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000102037