วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

SPCG ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ทะลุ 6 พันลบ.-มีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์


SPCG ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ทะลุ 6 พันลบ.-มีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์










นางสาววันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 60 จะไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดรายได้จะอยู่ที่ 5,000-5,500 ล้านบาท เนื่องจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทฯจะกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มอีกอย่างน้อย 67 เมกะวัตต์
แบ่งเป็นโครงการในประเทศญี่ปุ่น เฟสแรก 30 เมกะวัตต์ ที่จะ COD ในช่วงไตรมาส 1/60 และโครงการในประเทศฟิลิปปินส์ 37 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างภายในช่วงไตรมาส 1/60 และเริ่ม COD ในช่วงไตรมาส 2-3/60 ใช้งบลงทุนราว 1,850 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้ายอดขายจากการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปราว 2,000 ล้านบาท หรือที่ 50 เมกะวัตต์
"ในปีนี้เรายังต้องลุ้นว่าผลประกอบการจะออกมามากกว่าเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เพราะงานหลายๆ งานมาจบในช่วงไตรมาส 4/59 แต่อย่างไรก็ตามในช่วง 5,000-5,500 ล้านบาทได้แน่นอนอยู่แล้ว ในขณะที่ปีหน้าเราก็ยังมีการขยายการขายการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปอย่างต่อเนื่อง และยังมีการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม ซึ่งเราก็ตั้งเป้าที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"นางสาววันดี กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการขยายกิจการในประเทศญี่ปุ่น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกลงทุนในโครงการที่พันธมิตรมีอยู่ทั้งหมด 500 เมกะวัตต์ และในประเทศฟิลิปปินส์ ที่พันธมิตรมีโครงการอยู่ทั้งหมด 200 เมกะวัตต์ โดยบริษัทจะเลือกร่วมลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพมากที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะได้โครงการที่เหมาะสมทั้งหมดกี่โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8,000-10,000 ล้านบาทภายในปี 63 โดยคงเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 เมกะวัตต์ ในปี 63 จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งหมด 260 เมกะวัตต์ โดยบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยอดขายจากการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงินลงทุนตามแผนงานในอนาคตนั้น บริษัทจะเน้นการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ ซึ่งยังสามารถกู้ได้เพิ่มหลังระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่เพียง 1.78 เท่า ขณะที่การเพิ่มทุนจะเป็นช่องทางสุดท้ายที่บริษัทจะเลือกดำเนินการ

ที่มา : http://www.kaohoon.com/online/content/view/51844/SPCGตั้งเป้ารายได้ปี60ทะลุ6พันลบมีแผนขยายกิจการในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

TU เข้าร่วมทุน 50% ตั้งซีฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ทรีในดูไบ พร้อมให้สัตยาบรรณย้อนหลังให้เงินกู้ TFM


TU เข้าร่วมทุน 50% ตั้งซีฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ทรีในดูไบ พร้อมให้สัตยาบรรณย้อนหลังให้เงินกู้ TFM 

















       บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TUF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการเข้าร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท ซีฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล ทรี จำกัด ในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทุนจดทะเบียน 100,000 เดอร์แฮม (1,000,000 บาท) เพื่อจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาต่างๆ ที่เกิดหรือมีขึ้นในการประกอบธุรกิจของทั้งบริษัทร่วมทุนทั้งสองบริษัทได้แก่ บริษัท ยูไนเต็ด ซีฟู้ด (หมายเลข 1) FZCO และบริษัท   ยูไนเต็ด ซีฟู้ด (หมายเลข 2) FZCO ที่ได้จัดตั้งไปก่อนหน้านี้แล้วในปี 58   พร้อมกันนั้น ยังมีมติต่อการให้สัตยาบรรณสาหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (TFM) ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน เนื่องจากความเข้าใจผิดของกระบวนการทางาน ซึ่งพบว่าบริษัทได้ให้บริษัท TFM กู้ยืมเงินจำนวน 105 ล้านบาท ในวันที่ 31 สิงหาคม ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2559 รวม 62 วัน ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.8 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ต่ากว่าต้นทุนของบริษัท ด้วยเหตุผลของความเร่งด่วนในการต้องใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตให้สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ทันกับโอกาสทางการตลาด ทำให้บริษัทต้องเข้าช่วยเหลือทางการเงินตามที่จำเป็นโดยทันที และไม่อาจรอการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากสัดส่วนของบุคคลที่เกี่ยวโยงได้ จึงไม่ได้ผ่านขั้นตอนมติคณะกรรมการ    ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวถูกต้องตามตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 จึงขอให้สัตยาบรรณ สำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ TFM ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน คือ นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ กรรมการบริษัท และเป็นผู้ถือหุ้น (รวมญาติสนิท) ในบริษัท TFM ในสัดส่วนร้อยละ 24.2 แต่เมื่อคำนวณมูลค่าของรายการแล้ว รายการดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่าร้อยละ 0.03 แต่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัท ณ วันที่ 30กันยายน 2559 โดยที่คณะกรรมการตรวจสอบรับทราบและมีความเห็นให้ระมัดระวังในการทำรายการต่อไปในอนาคต สำหรับวาระการประชุมนี้ นายฤทธิรงค์ กรรมการที่มีส่วนได้เสียไม่ออกเสียงในที่ประชุม

    อย่างไรก็ตาม บริษัทจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหากไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กล่าวไว้

    นอกจากนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการแต่งตั้ง นายคิโยทากะ คิคูชิ, Division COO, Fresh Food Products Division, Living Essentials Group of Mitsubishi Corporation เป็นกรรมการเข้าใหม่แทนนายยูทากะ เคียวยะ ที่ขอลาออกก่อนครบวาระ โดยอยู่ในตาแหน่งถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2559 และนายคิโยทากะ คิคูชิ จะเป็นกรรมการเข้าใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป และจะมีวาระเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของนายยูทากะ เคียวยะ

ที่มา : http://www.ryt9.com/s/iq10/2544669