วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ครม.ไฟเขียวลดหย่อนภาษี2เท่า ลงทุนชายแดนใต้

          


ที่ประชุม ครม. อนุมัติแพ็คเกจลดหย่อนภาษี 2 เท่า จากการลงทุน- ขยายกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนใต้














            นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในจังหวัดดังกล่าว สามารถหักรายจ่ายการลงทุนหรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้น ทั้งในส่วนของทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตสินค้าหรือการขายสินค้า หรือการให้บริการในจังหวัดดังกล่าว 

ทั้งนี้ การหักภาษีดังกล่าวจะไม่รวมการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมได้เป็น โดยการหักลดภาษีนั้นจะให้เป็น 2 เท่า โดยรายจ่ายดังกล่าวนั้นจะต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ครม.อนุมัติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เท่านั้น โดยต้องเป็นสินทรัพย์ดังนี้ เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ยานพาหนะที่จดทะเบียนในท้องที่ซึ่งไม่รวมถึงรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารนั่งไม่เกิน 10 คน และอาคารถาวร ซึ่งไม่รวมถึงที่ดินและอาคารถาวรที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย 

ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหม่ในท้องที่ จะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในจังหวัดดังกล่าว เป็นระยะเวลา 5 รอบบัญชี นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปนี้ คือ ในกรณีที่รอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ยื่นคำร้องขอและได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้นับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นรอบระยะเวลาบัญชีแรก ส่วนกรณีที่ยื่นคำร้องขอและได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรระหว่างรอบระยะเวลาบัญชรใด ให้นับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเป็นรอบระยะเวลาบัญชีแรกแม้จะมีระยะเวลาน้อยกว่า 1 เดือน 

อย่างไรก็ตาม บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องจดทะเบียนจัดตั้งภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาทมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท 

สำหรับบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสูงที่ไปทำงานในท้องที่ดังกล่าว กำหนดให้มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในจังหวัดดังกล่าว ในอัตรา 3% ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้พึงประเมินอื่นๆ ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


ที่มา  : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/720204

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

คิกออฟรถไฟไทย-จีน เริ่มก่อสร้าง ธ.ค.นี้

คิกออฟรถไฟไทย-จีน เริ่มก่อสร้าง ธ.ค.นี้ 








                นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 14 ว่า ได้วางกรอบกำหนดของเอกสารประกวด ราคา (ทีโออาร์) โครงการรถไฟไทย-จีน ที่จะใช้เป็นเงื่อนไขกำหนดให้เอกชนไทยเข้ามารับงานก่อสร้างโครงการซึ่งส่วนนี้จำเป็นต้องรอข้อมูลลักษณะจำเพาะจากฝ่ายจีนที่จะถอดแบบรหัสวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งการออกแบบก่อน โดยปัจจุบันได้เร่งรัดให้ฝ่ายจีนสรุปรายละเอียดทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ต.ค.นี้ เพื่อนำมาร่างสัญญาโครงการร่วมกันและนำเสนอขออนุมัติโครงการจาก ครม. ภายในเดือน ต.ค. เพื่อนำไปสู่การเปิดประกวดราคาจัดหาผู้รับเหมางานก่อสร้างในส่วนแรก 3.5 กม. บริเวณสถานีกลางดงในเดือน พ.ย. ที่จะถึงก่อนจะเริ่มก่อสร้างภายในเดือน ธ.ค. 2559
“ตอนนี้ก็จะต้องเร่งร่างสัญญา เพื่อทำเอกสารประกวดราคาให้เสร็จ เพราะที่ผ่านมายอมรับว่ายังติดปัญหาทำความเข้าใจไม่ตรงกัน ต้องชี้แจงกับฝ่ายจีนเพื่อปรับแบบรายละเอียดจากข้อมูลจำเพาะให้เป็นสากลเพื่อเทียบเป็นวัสดุในประเทศของไทยอีกซึ่งประเด็นนี้ได้รายงานให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งไปร่วมประชุม จี20 เพื่อหารือร่วมกับสีจิ้นผิง ผู้นำฝ่ายจีน ว่าขณะนี้รายละเอียดโครงการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงประเด็นทางด้านเทคนิคและรายละเอียดเชิงลึก ทำให้ต้องปรับแบบก่อสร้างออกไปเป็นเดือน ธ.ค.นี้” นายอาคม กล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องวงเงินที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการนั้น เบื้องต้นได้ข้อสรุปแล้วว่าไทยจะใช้เงินภายในประเทศสกุลเงินบาททั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายสัญญาออกแบบและค่าที่ปรึกษาโครงการ ส่วนค่าใช้จ่ายของเงินวางระบบตัวรถนั้นจะทำการจัดซื้อในสกุลเงินหยวน หรือเหรียญสหรัฐ ซึ่งฝ่ายจีนยื่นข้อเสนอให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาเปรียบเทียบ และยังไม่ได้สรุปชัดเจนถึงอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น โดยกรอบวงเงินโครงการนั้นยังคงประเมินไว้ที่ 1.79 แสนล้านบาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากร
นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้หารือเพื่อสรุปรายละเอียดในส่วนของวงเงินก่อสร้างโครงการ ก่อนที่จะเริ่มเปิดประกวดราคาโครงการภายในปีนี้ โดยกระบวนการต่อไปหลังจากหารือสิ้นสุดลง ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะสรุปรายละเอียดวงเงินก่อสร้างเพื่อเสนอมายังกระทรวงในช่วงสัปดาห์หน้า ก่อนส่งต่อไปยัง ครม. เพื่อขออนุมัติโครงการในเดือน ต.ค.นี้


22 กันยายน 2559 เวลา 06:10 น.
ที่มา http://www.posttoday.com/biz/gov/455937

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

เวียดนามเปิดโอกาสต่างชาติเข้าลงทุนธุรกิจการเงิน





       ก้าวทันAEC – ส่องภาวะลงทุน ธนาคารกลางเวียดนามออกใบอนุญาตสำหรับธนาคาร CIMB ของมาเลเซียในการจัดตั้งหน่วยงานในเวียดนาม และถือเป็นธนาคารต่างชาติแห่งที่ 7 ที่ได้รับการอนุญาต ส่วนฟิลิปปินส์จะเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าข้าวมากขึ้นภายในปีหน้า ขณะที่รัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะยกเลิกการกีดกันการค้าข้าว ขณะที่รัฐบาลเมียนมากำลังขยายตลาดส่งออกข้าวผ่านระบบการค้าปกติ เล็งเจาะตลาดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ประเทศในแถบยุโรปและแอฟริกา

            นายโกสินทร์ เจือศิริภักดี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจสถาบันและการตลาดต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียไซรัส จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงความเคลื่อนไหวภาวะเศรษฐกิจต่างปรเทศว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอินโดนีเซียลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 113.3 ในเดือนส.ค. จาก 114.2 ในเดือนก.ค. เนื่องจากชาวอินโดนีเซียรู้สึกมีความเห็นในแง่ลบมากขึ้นเกี่ยวกับตำแหน่งงานว่าง และรายได้ อย่างไรก็ตามผู้บริโภคคาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นมากในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าภาวะทางธุรกิจ รายได้ และตำแหน่งงานว่างจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียอยู่ที่ 2.79% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนธ.ค.2009
       โครงการนิรโทษกรรมทางภาษีของอินโดนีเซียมีแนวโน้มดึงดูดเงินให้ไหลกลับเข้าประเทศได้ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายเป็นอย่างมาก โดยทำรายได้ให้รัฐบาลเพียง 18 ล้านล้านรูเปียห์ในปี 2016 หรือเพียงแค่ 11 % ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ และจะทำรายได้อีก 3 ล้านล้านรูเปียห์ในปี 2017 แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 165 ล้านล้านรูเปียห์ (1.26 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปี 2016 ซึ่งจะช่วยให้ยอดขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับไม่เกินเพดานทางกฎหมายที่ 3 % ของ GDP รวมทั้งการหาเงินมาใช้ดำเนินโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
      ทั้งนี้อินโดนีเซียเริ่มดำเนินโครงการนิรโทษกรรมทางภาษีระยะ 9 เดือนในเดือนก.ค. โดยเสนออัตราค่าปรับที่ระดับต่ำสำหรับผู้ที่แจ้งสินทรัพย์ที่ไม่ได้เสียภาษีในประเทศหรือต่างประเทศภายในเดือนมี.ค. 2017 และนับตั้งแต่เริ่มมีการดำเนินโครงการนิรโทษกรรม ดัชนีตลาดหุ้นจาการ์ตาก็พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 10 % โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า จะมีเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศมากยิ่งขึ้น
     Lion Air Group ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของอินโดนีเซีย โดยสายการบินทั้ง 3 ได้แก่ Lion Air, Batik Airและ Wings Air ได้ให้บริการผู้โดยสารกว่า 20.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 48.4 ของทั้งตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2016 ตามมาด้วย Garuda Indonesia Group และ Sriwijaya Air Group ทางด้านประธานกรรมการของ Lion Air ระบุว่าส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มทีมีการเติบโตร้อยละ 5 ในปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันจะยังชะลอตัวอยู่ก็ตาม
มาเลเซีย
           มาเลเซียได้ต่ออายุสำหรับคำสั่งหยุดพักกิจกรรมการทำเหมืองบอกไซต์ออกไปอีกเป็นเวลากว่า 3 เดือน โดยต่ออายุออกไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. เนื่องจากเกิดการต่อต้านจากประชาชน หลังจากก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมเหมืองบอกไซต์เคยเฟื่องฟู โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์จากจีน และอินโดนีเซียห้ามการส่งออกแร่ดังกล่าว อย่างไรก็ตามการขุดเหมืองดังกล่าวอย่างเร่งด่วนส่งผลให้มีการร้องเรียนเรื่องน้ำปนเปื้อน และสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย หลังจากนั้นรัฐบาลมาเลเซียก็ได้ประกาศในเดือนม.ค.ให้ระงับการทำเหมืองบอกไซต์เป็นต้นมา
         ยอดส่งออกของมาเลเซียลดลง5.3% ต่อปี ในเดือนก.ค.หลังจากเติบโต 3.4% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 15 เดือน เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจมาเลเซียได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงฉุดจากการส่งออกไปยังจีนและการร่วงลงของจำนวนส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดส่งออกอาจปรับขึ้น 2.5% ต่อปีในเดือนก.ค. นอกจากนี้ยอดนำเข้าของมาเลเซียลดลง 4.8% ต่อปีในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 8.3% ต่อปีในเดือนมิ.ย.
        เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2016 ธนาคารกลางมาเลเซีย (Bank Negara Malaysia : BNM) ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3% ซึ่งเป็นไปตามคาดเนื่องจากมีความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจซึ่งอาจส่งผลต่อความเติบโตของประเทศ อย่างไรก็ตาม มีความเห็นในแง่บวกที่ว่า ความเติบโตจะมีอย่างต่อเนื่องไปตลอดจนปี 2017 โดย BNM กล่าวว่า ขณะนี้มีกิจกรรมเพียงพอที่จะผลักดันเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าการเติบโตรายปี ร่วงลง 4% ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเติบโตช้าสุดในรอบ 7 ทั้งนี้ รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการให้การขาดดุลงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายที่ระดับไม่เกิน 3.1% ของ GDP แต่อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นสุดเดือนมิ.ย. การขาดดุลดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 5.5%
         ประเทศจีนมีความหวังที่จะผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศกับมาเลเซียให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมือเชิงปฎิบัติการ ขณะเดียวกันจีนจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเข้าร่วมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียยินดีที่จะเห็นการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการจีนในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมาเลเซียรวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ มาเลเซียสนับสนุนความร่วมมือทางการเงินระหว่างสอง และการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีน
          ผลสำรวจของ Knight Frank เผยว่า ราคาบ้านมาเลเซียพุ่งขึ้นสูงกว่าราคาบ้านในตลาดสหรัฐ สหราชอณาจักร ฮ่องกง และ สิงคโปร์ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทำให้มาเลเซียถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีราคาขายบ้านสูงที่สุดในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมาเลเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 12 เนื่องจากมีราคาบ้านพุ่งสูงขึ้น 7.2% ในขณะที่ราคาบ้านสหรัฐ และ สหราชอณาจักรยังอยู่ในแนวเดิมเนื่องจากปรับตัวขึ้น 5.2% และ 5.1%
สิงคโปร์
         สิงคโปร์และออสเตรเลียตกลงกันเรื่องการดำเนินการแลกเปลี่ยน ข้อมูลทางการเงินของผู้มีภูมิลำเนาทางภาษีในสองประเทศโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเริ่มต้นภายในเดือนก.ย. 2018 เพื่อสกัดกั้นการหลีกเลี่ยงภาษี ทั้งนี้สิงคโปร์, สวิตเซอร์แลนด์ และฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินต่างประเทศ โดยสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าของบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์ขนาดใหญ่หลายแห่ง และในปีที่แล้ว สิงคโปร์ก็ได้รับการเพ่งเล็งจากออสเตรเลียและประเทศผู้ผลิตทรัพยากรรายใหญ่ประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศกลุ่มนี้ตั้งข้อสงสัยว่า บริษัทหลายแห่งใช้หน่วยงานในสิงคโปร์ในการหลีกเลี่ยงภาษี
          ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ระบุว่า มีสัญญาณขั้นต้นที่บ่งชี้ว่า การระบาดของโรคไวรัสซิกาในสิงคโปร์อาจจะส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์ และขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบที่สิงคโปร์ได้รับจากโรคไวรัสซิกา โดยสิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการเดินทางและศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ โรคไวรัสซิกาอาจจะส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์ แต่ไม่มีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบสำคัญต่อผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวม
           จากผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 1.8% ในปีนี้ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ไว้ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้
           ขณะเดียวกัน คาดว่ายอดการส่งออกซึ่งไม่นับรวมสินค้าจำพวกน้ำมัน จะหดตัวลง 3.6% ในปีนี้ ซึ่งย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ว่าจะหดตัวลงเพียง 2.1% นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) รายเดือนจะปรับตัวลดลง 0.5% ในปีนี้
          ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของภาคการผลิตของสิงคโปร์ลดลง 0.5% สู่ระดับ 49.8 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน โดยมีสาเหตุจากการจ้างงานที่ซบเซา และการขยายตัวที่ลดลงของสินค้าคงคลังภาคการผลิต และสินค้าสำเร็จรูป ถึงแม้ผลผลิตในภาคโรงงาน, คำสั่งซื้อใหม่ และการส่งออกใหม่มีการขยายตัว ทั้งนี้ภาคการผลิตมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจสิงคโปร์
          Channel News Asia (CNA) รายงานว่า สิงคโปร์มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านคนในช่วงครึ่งปีแรกหรือเพิ่มขึ้น 1.7 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยระบุว่านักเที่ยวที่เข้ามาอยู่ในสิงคโปร์โดยใช้เวลาต่ำกว่า 1 ปี (International Visitor Arrivals-IVA) มีจำนวน 4.1 ล้านคนหรือมีจำนวนเพิ่มขึ้น 14 % เช่นกัน ชาวต่างชาติที่มาสิงคโปร์ 5 อันดับแรก คือ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลียและอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 53 % ของนักท่องเที่ยว IVA ทั้งหมด ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรก มีเงินไหลเข้าประเทศ 5,400 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ฟิลิปปินส์
           ฟิลิปปินส์จะประกาศระงับการดำเนินงานของเหมืองแร่จำนวนมากขึ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องในข้อหาละเมิดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้สั่งระงับการดำเนินงานของเหมืองไปแล้ว 10 แห่ง ซึ่ง 8 แห่งในจำนวนนี้เป็นผู้ผลิตสินแร่นิกเกิล ทั้งนี้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้ผลิตแร่นิกเกิลรายใหญ่ที่สุดในโลก การสั่งระงับการดำเนินงานเหมืองในช่วงที่ผ่านมา และความเป็นไปได้ที่จะมีการสั่งระงับเพิ่มขึ้นอีกนั้น ส่งผลให้ราคานิกเกิลพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ระดับสูงกว่า 11,000 ดอลลาร์ต่อตันในวันที่ 10 ส.ค
           รัฐบาลฟิลิปปินส์ระบุว่า ฟิลิปปินส์มีแผนที่จะระดมทุน 500 ล้านดอลลาร์ด้วยการขายพันธบัตรทั่วโลกในปีหน้าเพื่อช่วยสนับสนุนงบประมาณของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตในปี 2017 โดยรัฐบาลจะระดมทุน 1.2626 แสนล้านเปโซ (2.7 พันล้านดอลลาร์) ด้วยการขายพันธบัตรทั่วโลก และจากเงินกู้ช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างเป็นทางการเพื่อนำไปช่วยสนับสนุนงบประมาณแห่งชาติวงเงิน 3.35 ล้านล้านเปโซในปีหน้า
           ฟิลิปปินส์จะเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าข้าวมากขึ้นภายในปีหน้า ขณะที่รัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะยกเลิกการกีดกันการค้าข้าว หลังจากได้ใช้ข้อจำกัดดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 1995 โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าข้าวที่ 35% และกำหนดปริมาณการนำเข้าต่อปีของภาคเอกชนไว้ที่ 805,200 ตัน ซึ่งฟิลิปปินส์ได้เข้าขยายข้อจำกัดดังกล่าว 2 ครั้งนับตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิก WTO ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวมากกว่า 1 ล้านตันต่อปี โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากไทยและเวียดนาม ซึ่งรวมถึงการซื้อข้าวแบบปลอดภาษีของสำนักงานอาหารแห่งชาติ (NFA)
           ฟิลิปปินส์มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนส.ค. โดยพุ่งแตะระดับ 8.5895 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.39 พันล้านดอลลาร์ จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 8.5510 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งระดับทุนสำรองในเดือนส.ค. สามารถรองรับการนำเข้าได้ 10.5 เดือน และเทียบเท่ากับ 6 เท่าของหนี้นอกประเทศระยะสั้น โดยการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองมีสาเหตุมาจากเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล และการดำเนินธุรกรรมปริวรรตเงินตราของธนาคารกลาง รวมทั้งรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ
เวียดนาม
           ธนาคารกลางเวียดนามออกใบอนุญาตสำหรับธนาคาร CIMB ของมาเลเซียในการจัดตั้งหน่วยงานในเวียดนาม และถือเป็นธนาคารต่างชาติแห่งที่ 7 ที่ได้รับการอนุญาตดังกล่าว ทั้งนี้ CIMB Group Holdings Bhd เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 5 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดจากมูลค่าสินทรัพย์ โดยใบอนุญาตมีอายุ 99 ปีซึ่งเริ่มต้นในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ทาง CIMB ยังมีแผนการขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศพม่าและฟิลิปปินส์ รองรับการขยายตัวของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่านมาในเดือนมี.ค. ธนาคารกลางเวียดนามได้อนุญาตให้แก่ Public Bank Berhad และในเดือนส.ค.นี้ยังได้อนุมัติข้อเสนอของธนาคาร Woori ของเกาหลีใต้ในการเข้ามาเปิดธุรกิจในเวียดนาม
           สายการบิน VietJet ของเวียดนามได้ทำข้อตกลงในการสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น A321 กับ Airbus Group มูลค่ากว่า $ 2.39 พันล้าน โดยเครื่องบินจะถูกส่งให้กับ VietJet ระหว่างปี 2017 จนถึงปี 2020 ทั้งนี้สายการบิน VietJet เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนธันวาคมของปี 2011 และกำลังมองหาตลาดที่มีการเติบโตขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 20 ต่อปีในช่วงสามปีที่ผ่านมาเพื่อขยายตลาดซึ่งเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ทางสายการบินได้ระบุว่าจะสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing 737-Max 200 จำนวน 100 ลำ เป็นมูลค่ากว่า $11.3 พันล้าน หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้เดินทางมาที่เวียดนาม และในปีนี้สายการบิน VietJet กลายเป็นผู้ให้บริการสายการบินในประเทศที่ใหญ่ที่สุด และคาดว่าเวียดนามจะติดอันดับ 1 ใน10 ของโลก ด้านตลาดการบินที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
           รัฐบาลญี่ปุ่นจะให้เงินกู้แก่รัฐบาลเวียดนามจำนวน 11 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2016 เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ โดยเงินกู้ดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าประมาณ 106 ล้านเหรียญสหรัฐจะช่วยรัฐบาลเวียดนามในการดำเนินโครงการ Economic Management and Competitiveness Credit programme (EMCC) ระยะที่ 3 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการปฏิรูปในสาขาที่มีความสำคัญในช่วงปี 2016-2020
ลาว
           ในปีนี้ประเทศไทยได้เพิ่มการซื้อไฟฟ้าจากประเทศลาวสู่ระดับ 9,000 จาก 7,000 เมกะวัตต์เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็เพื่อให้มั่นใจว่าอุปทานเพียงพอ โดยข้อตกลงการจัดซื้อพลังงานได้ลงนามระหว่างที่นายกรัฐมนตรีได้เข้าเยี่ยมนายกรัฐมนตรีของประเทศลาว
           ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐ ให้คำมั่นระหว่างเยือนลาวเป็นเวลา 3 วันว่า จะจัดสรรงบประมาณ 90 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการสำรวจและจัดการผลกระทบอันเกิดจากระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้างอยู่ในลาว ในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐจะเข้ามาช่วยจัดหาบันทึกตำแหน่งของการทิ้งระเบิดในสงครามครั้งนั้น ทั้งนี้ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบจำนวนต่อหัวประชากร เมื่อครั้งสหรัฐเข้าไปทำสงครามลับภายใต้การนำของสำนักข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ช่วงปี 2507-2516
กัมพูชา
           ข้อมูลจากหน่วยงานเครดิต ระบุถึงการชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญของอัตราการกู้ยืมในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ โดยมีสาเหตุมาจากเกณฑ์ให้สินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นและอุปสงค์ของสินเชื่อที่น้อยลงจากภาคเกษตรกรรมซึ่งกำลังประสบภาวะยากลำบาก โดย Credit Bureau Cambodia (CBC) ระบุว่าใบคำขอสินเชื่อโดยรวม ซึ่งรวมถึงการเงินส่วนบุคคล, บัตรเครดิตและการจำนอง ปรับตัวลงร้อยละ 25 ในช่วงไตรมาสที่สองของปี ขณะที่ยอดค้างชำระการกู้ยืมสินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.75 ในช่วงไตรมาสสอง แตะระดับ $ 2.73 พันล้าน
           Royal Group ซึ่งเป็นเครือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศกัมพูชาจะเข้าร่วมในการระดมทุนเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ในจังหวัดพระสีหนุ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้หลังจากปี 2020 ขณะที่รายละเอียดขนาดการลงทุนยังไม่ได้มีการระบุอย่างแน่ชัด โดยโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งแรกและแห่งที่สองได้เปิดดำเนินการไปแล้วในเดือนพ.ย. ปี 2014 และเดือนมี.ค. ปี 2015 และปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 270 เมกะวัตต์ และขณะนี้การพัฒนาโรงไฟฟ้าในเฟสที่ 3 นี้จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 135 เมกะวัตต์ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าพลังงาน 700 เมกะวัตต์ เป็นความร่วมมือระหว่าง Cambodian People’s Party Senator Lao Meng Khin’s Cambodia InternaYonal Investment Development Group (CIIDG) กับ Erdos Hongjun Electric Power Co. ของจีนด้วยมูลค่ากว่า US$ 383 ล้าน
           Bank of China ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 ธนาคารายใหญ่ของรัฐบาลจีนจะขยายการดำเนินงานในประเทศกัมพูชาโดยการเปิดสาขาใหม่ในเสียมเรียบและสีหนุวิลภายในสิ้นปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการการลงทุนจากจีนมายังกัมพูชามากขึ้น ทั้งนี้ Bank of China ได้เริ่มดำเนินการในประเทศกัมพูชาตั้งแต่ปี 2010 และปัจจุบันมีสาขา 2 แห่งในเมืองหลวง โดยธนาคารจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของการส่งเสริมการทำธุรกรรมทางธุรกิจในสกุลเงินหยวนของจีนซึ่งนำเสนอการบริการโอนเงินข้ามพรมแดน การลงทุนและการชำระเงินสำหรับการนำเข้าและส่งออก
           โดยในปีที่ผ่านมาธุรกรรมข้ามพรมแดนของเงินหยวนพุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 80 เมื่อเทียบรายปีต่อไปตามรายงานประจำปีของสาขาธนาคารแห่งประเทศจีนขณะที่ทางธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.8 เมื่อเทียบกับ ปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามการใช้เงินหยวนในกัมพูชายังมีข้อจำกัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจของกัมพูชายังคงอ้างอิงกับเงินสกุลดอลลาร์สรอ. มากกว่า
เมียนมา
           รัฐบาลเมียนมากำลัง พยายามขยายตลาดส่งออกข้าวผ่านระบบการค้าปกติ โดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาพันธ์ข้าวแห่งเมียนมาเล็งเจาะตลาดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ประเทศในแถบยุโรปและแอฟริกา รวมทั้งกำลังร่วมมือกับจีน เพื่อเพิ่มโควตาการส่งออกข้าว และกำลังพยายามขยายช่วงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับ การส่งออกข้าว 300,000 ตัน ไปยังอินโดนีเซีย ข้อมูลสถิติการ ส่งออกข้าวของเมียนมาร์ระบุว่า มูลค่าการส่งออกข้าวในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559-2560 อยู่ที่ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 14 ล้านบาท) โดยร้อยละ 80 ของมูลค่าทั้งหมดเป็นการส่งออกข้าวไปยังจีนผ่านการค้าชายแดน

ที่มา : https://www.thunhoon.com/42712-2/

บริษัทผลิตไฟฟ้าลาวออกหุ้นกู้ในไทยผ่านฉลุย

ก้าวทันAEC – EDL-Generation ออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขนาดใหญ่ที่สุดสำเร็จในประเทศไทย



EDL-Generation Public Company (“EDL-Gen”) บริษัทผลิตไฟฟ้าชั้นนำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ประสบความสำเร็จในการกำหนดราคาหุ้นกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 312 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10,800 ล้านบาท) ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2559 หุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับที่ BBB+ จากบริษัททริส เรทติ้ง จำกัด แบ่งเป็นสามชุด ระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนคือ 7, 10 และ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยที่ 5.00%, 5.59% และ 5.98% ต่อปีตามลำดับ จัดจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559 ให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ภายใต้ข้อกำหนดหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยมีบริษัททวิน ไพน์ กรุ้ป จำกัด เป็นที่ปรึกษาหลัก ส่วนธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่ผู้จัดการจัดจำหน่ายร่วม
EDL-Gen ออกหุ้นกู้ครั้งแรกจำนวน 6,500 ล้านบาทเมื่อเดือนธันวาคม 2557 ได้รับรางวัลและการตอบรับอย่างมากจากตลาดทุนนานาชาติ สำหรับครั้งนี้ เป็นการออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ครั้งแรก จะเป็นอีกหนึ่งในธุรกรรมการเงินครั้งสำคัญสำหรับ EDL-Gen ในหลายๆ ด้าน ซึ่งหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์โดย EDL-Gen ที่ออกมาเป็นครั้งแรกนี้ เป็นหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย และ EDL-Gen กลายเป็นบริษัทเอกชนผู้ออกหุ้นกู้รายแรกที่ตราสารหนี้มีระยะเวลาครบกำหนด 12 ปีจากตลาดตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศของไทย และระยะเวลา 12 ปีนี้ยังเป็นตราสารหนี้ที่มีอายุนานที่สุดเท่าที่เคยมีมาของ EDL-Gen
การเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวช่วยให้ EDL-Gen ขยายฐานนักลงทุนออกไปได้กว้างขึ้น โดยมีการกระจายหุ้นกู้นี้ไปยังสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institution) (48.1%), บริษัทประกันภัย (43.3%) นักลงทุนรายใหญ่ภายในประเทศ (2.2%) และนักลงทุนรายใหญ่ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (6.4%) นับเป็นครั้งแรกที่การจัดหน่ายหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศเสนอขายให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ทั้งภายในประเทศและที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ซึ่งเน้นให้เห็นถึงความน่าเชื่อถืออันแข็งแกร่งของ EDL-Gen ในหมู่นักลงทุน
การจัดจำหน่ายหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์นี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ แข็งแกร่งและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้และทุนของประเทศไทย ตลอดจนความน่าเชื่อถืออันแข็งแกร่งของ EDL-Gen ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ในตลาดทุนในภูมิภาคที่เชื่อมโยงบูรณาการกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“เรายินดีที่ประสบความสำเร็จอีกครั้งในการดำเนินธุรกรรมข้ามพรมแดนครั้งสำคัญนี้ โดยเป็นบริษัทเอกชนต่างประเทศรายแรกที่ออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ในตลาด ซึ่งต้องขอบคุณนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือของบริษัท EDL-Gen การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางการเงินที่แข็งแกร่งของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะช่วยพัฒนาให้เรารุดหน้าไปสู่เป้าหมายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” นางรัตนา ประทุมวรรณ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EDL-Gen กล่าว

ที่มา : 
https://www.thunhoon.com/บริษัทผลิตไฟฟ้าลาวออกห/

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

TMB คาดกนง.รอบนี้คงดอกเบี้ย หลังการลงทุนภาคเอกชนยังมีความไม่แน่นอน-ส่งออกยังหดตัว



TMB คาดกนง.รอบนี้คงดอกเบี้ย หลังการลงทุนภาคเอกชนยังมีความไม่แน่นอน-ส่งออกยังหดตัว 








ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 14 ก.ย.นี้ จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ทั้งนี้มองว่ายังมีช่องว่างให้ลดดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยยังสูงอยู่

สำหรับเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองขยายตัวดีขึ้นที่ 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 3.2% ในไตรมาสหนึ่ง และ 2.8% ในปี 2558 ทั้งนี้ มุมมองเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังมีการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยภาครัฐได้ออกมาตรการสนับสนุนเพื่อเร่งการเบิกจ่ายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 10.8% (yoy) แม้จะยังไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มขยับเข้าสู่กรอบเป้าหมายจากราคาอาหารและพลังงานที่เริ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ทำให้การส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และมีแนวโน้มที่จะยังคงติดลบที่ 1.9% ในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังไม่กลับมา สะท้อนจากความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ตลอดจนการบริโภคภาคเอกชนที่จะชะลอตัวหลังปัจจัยบวกชั่วคราวหมดไป

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมี policy space ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ โดยหากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังหักอัตราเงินเฟ้อ) ของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อัตราดังกล่าวของไทยจะอยู่ที่ 1.52% ซึ่งต่ำกว่า 1.58% ของประเทศอินโดเซีย แต่สูงกว่าของหลายประเทศในเอเชีย เช่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไต้หวันที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ 0.55% 0.41% และ 0.40% ตามลำดับ

"การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะกระตุ้นพฤติกรรม search for yield หรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ทำให้ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่แท้จริง ซึ่งอาจส่งผลลบต่อเสถียรภาพการเงิน" ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ระบุ

โดยรวมแล้ว ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค แต่เพราะพฤติกรรม search for yield และภาวะความผันผวนภายนอกที่สูงนั้น การรักษา policy space ไว้จึงยังเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้ การส่งออกยังมีแนวโน้มหดตัว อีกทั้งความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน ศูนย์วิเคราะห์ฯ จึงคาดว่า กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ในการประชุมวันที่ 14 ก.ย.นี้

REF : http://www.ryt9.com/s/iq03/2506047

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

BAY เร่งเครื่องส่งเสริมลงทุนเตรียมจับคู่ธุรกิจไทย-ญี่ปุ่นครั้งใหญ่ปลายปีนี้






     ก้าวทันAEC – BAY ผนึกความร่วมมือกับธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิยูเอฟเจ (BTMU) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (JETRO Bangkok)สนับสนุนการลงทุนของธุรกิจไทยในญี่ปุ่น คาดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจครั้งใหญ่ปลายปีนี้ และเครือข่ายธุรกิจของธนาคารในกลุ่มประเทศ CLMV

    นายมาซาอากิ ซูซูกิ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY  กล่าวว่าธนาคาร และ BTMU นับเป็นองค์กรเอกชนแห่งแรกที่ลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับเจโทร กรุงเทพฯ เพื่อเร่งผลักดันธุรกรรมการค้าและการลงทุนทั้งสองประเทศ โดยกรอบความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าบริษัทไทย บริษัทญี่ปุ่น และบรรษัทข้ามชาติอีกด้วย
เจโทร กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในสำนักงานต่างประเทศที่สำคัญของเจโทร ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 80 แห่งทั่วโลกและยังเป็นศูนย์กลางประสานงานของสำนักงานเจโทรในภูมิภาคเอเชียโดยมีบทบาทในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น และผลักดันเพิ่มการนำเข้าของสินค้าไทยสู่ตลาดญี่ปุ่น
“นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กรุงศรีได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและสัมมนาให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจการค้าในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงการค้าและการลงทุนระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่ม Japanese Banking/ Multinational Banking ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าธุรกิจผ่านบริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศและคาดว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจที่จะขยายความร่วมมือด้านการค้ากับผู้ประกอบการธุรกิจในไทยและเครือข่ายธุรกิจของธนาคารในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้นผ่านกิจกรรม Krungsri-MUFG Business Matching”นายซูซูกิ กล่าว

ที่มา
https://www.thunhoon.com/39755-2/

เรามาดูวิธีที่จะช่วยให้การกู้เงินของบริษัทของหลายๆคนผ่านตลอด (GREEN LIGHT)


   





     ในการที่จะดำเนินธุรกิจทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องหรือคงสถานะให้อยู่รอดต่อได้นั้นอาจจะต้องใช้เงินที่เพียงพอกับความต้องการและในอนาคตที่ไม่แน่นอน  และควรที่จะต้องมีเงินสำรองเพื่อความจำเป็นในอนาคตและไม่เสียค่าโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ แต่ในบางครั้งอาจเกิดเหตุการที่เร่งด่วนและการอนุมัติเงินสินเชื่อนั้นอาจจะล่าช้า แต่ถ้าทำตามข้อควรระวังต่อไปนี้ก็จะสามารถทำให้การอนุมัติเงินสินเชื่อนั้นไปเป็นโดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือ

1. การเขียนแบบหรือเป้าหมายของโครงการที่ชัดเจน


2. กระแสเงินสดของโครงการที่ชัดเจนซึ่งจะนำมาใช้คืนเงินกู้

3. กระแสเงินสดของบริษัท

4. การจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายที่ชัดเจนของบริษัท

5. ทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน

6. ประวัติการชำระหนี้

7. สัดส่วนการลงทุนร่วมของเจ้าของ


ที่มา
http://incquity.com/articles/money-talk/loan-tactics

รูปภาพจาก
http://www.slicktext.com/blog/2015/02/5-signs-its-time-to-try-text-message-marketing/